ผู้เขียน หัวข้อ: tokyo motor show 2024: ORA 07 Performance พลังแรงเกาะหนึบวิ่งได้ไกลกว่าที่คิด!  (อ่าน 94 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 510
  • รับจ้างโพสต์เว็บ สำหรับเจ้าของเวปไซต์ เจ้าของกิจการ
    • ดูรายละเอียด
tokyo motor show 2024: ORA 07 Performance พลังแรงเกาะหนึบวิ่งได้ไกลกว่าที่คิด!

ORA 07 Performance ซีดานไฟฟ้าตัวแรงพลัง 408 แรงม้า กับแรงดึงตึง ๆ ที่ 680 นิวตันเมตร ขนาดแบตฯ 83.499 kWh เท่ากับรุ่น Long Range พร้อมระบบ 4WD แต่ระยะวิ่งน้อยกว่าเล็กน้อย 550 กม.ต่อชาร์จ NEDC ซึ่งวิ่งจริง 450 กม. ก็นับว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วสำหรับรถแรงขับเคลื่อน 4 ล้อครับ
 
 
ORA 07 Performance นับเป็นรุ่นที่อยุ่ในกลุ่มรถซีดานใหญ่ที่เน้นสมรรถนะการใช้งานในสไตล์ "เรสซิ่ง" ใช้ได้ทั้งในชีวิตประวันและวันไหนเกิดต้องการความมันสนุกและการตอบสนองความแรงก็รวมอยู่ในคันเดียวกับราคาค่าตัว 1,499,000 บาท ถือว่ากลาง ๆ ไม่สูงเกินไปสำหรับพลัง 400 กว่าแรงม้า       

 
ORA 07 มิติตัวรถ 1,862 x 4,871 x 1,500 มิลลิเมตร (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,870 มิลลิเมตร ระยะความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 125 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,115 กิโลกรัม แต่ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้าเป็น 1,577 มม ด้านหลัง 1,597 มม. (แคบกว่ารุ่น Long Range คู่หน้า 1,583/1,603 มม.) ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สัน และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ เป็นซีดานไฟฟ้าที่มีความสปอร์ต ทั้งภายนอกภายในให้ความรู้สึกแบบรถสปอร์ตพรีเมี่ยมและแน่นอนมีหลังคากระจกยาวแบ่ง 2 ตอน จรดฝาท้าย อาจจะร้อน ๆ หัวหน่อยเวลาแดดจัด แต่มีช่องแอร์ตอนหลัง และรุ่นนี้มี "สปอยเลอร์กระดก" สั่งเปิด-ปิดได้ด้วยปลายนิ้วและจะเปิดขึ้นเมื่อความเร็วสูง ๆ พร้อมล้ออัลลอยลายพรีเมี่ยม 19 นิ้ว
 
ระบบความสะดวกสบายครบกว่า!
รุ่นท็อปสุดก็ให้ฟังด์ชั่นความสะดวกสบายมากแบบเต็ม ๆ หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งรองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยหน้าจอกลางอัจฉริยะนี้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว รองรับคำสั่งเสียง "สวัสดีโอร่า" กล่องเก็บของ กล่องใสแว่นตา กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้

 
เพิ่ม...มารตวัด Head-up สะท้อนกระจกหน้า เบาะคนขับมระบบ Welcome seat พร้อมดันหลังไฟฟ้า ระบบนวด เป่าลม และเบาะข้างคนขับปรับไฟฟ้า ลำโพงจาก Infinity 11 ตำแหน่ง พร้อม Amplifier ในส่วนการแจ้งเตือนบนแอปฯ GWM ก็มีเพิ่มสถานะระบบเบาะนวด เปิด-ปิดระบบระบายอากาศ กระจกมองข้างปรับอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง
 
พวงมาลัยปรับแบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าด้านหลังพวงมาลัย และระบบ Intelligent Quick Start System ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้พร้อมออกเดินทางได้ทันทีเมื่อขึ้นมานั่งที่เบาะคนขับและเหยียบเบรก

 
โหมดการขับขี่ทั้ง 6 โหมดเป็นไปอย่างง่ายดาย ได้แก่ โหมดประหยัด โหมด WELL BEING, โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดส่วนบุคคล เพิ่มโหมดสปอร์ต+ (Sport+) ที่กดปุ่ม "แดง" ตรงพวงมาลัยได้ทันที พร้อมเเลือกเปิดสียงสังเคราะห์จำลองเสียงเครื่องยนต์ หลังคาแก้วแบบพาโรนามิคขนาดใหญ่ (Panoramic Glass Roof) ตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้าย ที่เป็นวัสดุช่วยเก็บเสียง โดยตัวหลังคาที่เป็นกระจกยังช่วยลดแสงและความร้อน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อม PM2.5 filter
 

ระบบช่วยเหลือและความปลอดภัยเด่นๆ
อันคือ สุดจริงด้วย โครงสร้างของ ORA 07 รับน้ำหนักได้ถึง 9.5 ตัน
กล้อง 360 องศา ชัดแจ๋ว
ระบบควบคุมความเร็วแปรผันความเร็วต่ำและสูง พร้อมช่วยเข้าโค้ง
ระบบช่วยเตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับ
ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้าและเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ
ระบบเตือนมุมอับสายตา
ระบบเตือนขณะถอยหลังพร้อมเบรกอัตโนมัติ
ระบบแจ้งเตือนเมื่อเปิดประตู
ระบบเตือนลมยาง
ระบบ S.O.S ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน  เป็นต้น
เพิ่ม...
ระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ ขนาด, เข้าซอง และ เช้าซองแบบเฉียง
ระบบจดจำและถอยหลังอัตโนมัติ ระบบนี้ดีมาก ๆ ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ และหากเลือกเกียร์ถอย รถจะสามารถถอยหลังกลับได้เองโดยใช้ข้อมูลสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ ถ้าระบบตรวจพบสิ่งกีดขวาง คนเดินถนน หรือรถยนต์ ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานและรถจะหยุดในทันที
เซ็นเซอร์กะระยะ 6 จุด

 
แรงเกินต้าน ช่วงล่างพอตัวไม่ย้วย
 
สมรรถนะอัตราเร่งของรุ่น Performance นับว่าสะใจมากไม่ว่าจะใช้โหมดไหนก็แรงได้ แค่แตกต่างต่างที่การเซ็ตความไว้ของคันเร่งเท่านั้น จากตอนสนองช้า (หน่วง ๆ) ไปจนถึงถึงเขี่ยปุ๊บพุ่งปั๊บ! โดยเฉพาะในโหมดสปอร์ต+ รู้สึกได้ว่าใช้น้ำหนักกดคันเร่งน้อย ๆ รถก็จะพุ่งแล้ว และในโหมดนี้ก้มีความสนุกใช้ได้ใช้งานคือ "launch control" (ซึ่งผมเคยทำในการจัดทดสอบในสนามพีระแล้ว)  ออกตัวแบบรถเกียร์กระปุก เหมือนการเร่งเครื่องและเหยียบคลัตช์ก่อนออกตัว เมื่อต้องการอัตราเร่งจัดจ้านแบบรถสปอร์ตแท้ ๆ พร้อมด้วยเสียงสังเคราะห์ที่ได้อารมณ์แม้จะฟังแล้วแห้ง ๆ แต่ก้ช่วยเพิ่มความมันได้ระดับหนึ่งเลยครับ และเมื่อลองวัดอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. วัดด้วยแอปฯ ทำเวลาได้ประมาณ 4 วินาที!! นับว่าตรงกับที่เคลมเอาไว้มาก ๆ เลยครับ
 

การกดคันเร่งแรง ๆ แทยไม่มีอาการล้อฟรีเพราะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงกระโดดออกตัวได้อย่างเนียน ๆ ควบคุมได้ง่ายมาก ๆ นอกจากนี้ยังมาพร้อม 6 โหมดให้เลือก คือ โหมดประหยัด►คันเร่งจะหน่วงช่วงแรก ๆ แต่ถ้าเพิ่มน้ำหนักเท้าไปอีกก็จะเร่งได้ทันใจ
โหมด WELL BEING►สามารถตั้งค่ากำหนดการใช้งานฟังก์ชั่นสะดวกสบายต่าง ๆ ได้ เช่น เปิด-ปิดปัดน้ำฝน ไล่ฟ้า ฯลฯ และยังเป็นโหมดสำหรับผู้เริ่มต้นขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรก โดยที่คันเร่งจะไม่มีการหน่วง เรียกว่าเหมือนขับรถสันดาปเป๊ะเลย
โหมดปกติ►คันเร่งจะตึงขึ้นเล็กน้อย จะตอบสนองเร็วขึ้น แต่ก็ยังมีความหน่วงอยู่บ้างและระบบรีเจนฯ KERS ก็จะเป็นค่าจากโรงงานคือ หน่วงมากนั่นเอง อันนี้แนะนำว่าต้องฝึกน้ำหนักเท้าในการเหยียบหรือผ่อนไม่นุ่มนวล ไม่เช่นนั้นผู้โดยสารอาจจะเมารถแน่นอน
โหมดสปอร์ต►สปอร์ตเพิ่มการตอบสนองคันเร่งให้ "ตึง" และรวดดเร็ว แตะพุ่ง ๆ ทันใจมาก เหมาะกับคนที่ขับจนชินและชินและชำนาญแล้ว เพราะมันเร่งไว้มาก ๆ
โหมดส่วนบุคคล►โหมดนี้ดีสุดในเรื่องการตั้งค่าได้เองตามต้องการ ทั้ง น้ำหนักพวงมาลัย ความหน่วงคันเร่ง จำกัดความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. นับเป็นโหมดที่เลือกให้ตรงกับความชอบผู้ขับได้เองเลยครับ
โหมดสปอร์ต+►ถือว่าเอาไว้ "ซ่า" ขับดุเดือดแบบซูเปอร์คาร์ก้ว่าได้ครับ แต่ควรใช้ความระวังให้มาก ๆ ที่สุด
 
 
ระดับแบตฯ ในการการใช้งานจริง
ยังคงต้องเน้นเหมือนทุกครั้งว่า "ขึ้นกับสภาพการจราจรและการใช้น้ำหนักคันเร่ง" ซึ่งจากที่ได้ทดลองขับมากว่า 5 วันนั้น เมื่อชาร์จไฟเต็มที่ 100% ระยะทางบนมาตรวัด 550 กม. (รูปถ่ายเป็นตอนรับรถจอดนานหายไป 1 % เหลือ 546 กม.) ขับไป 230 กม. ระดับแบตฯ คงเหลือ 37% และระยะทางคงเหลือ 203 กม. เท่ากับระยะเคลมไว้ 550 กม. ใช้ไป 230 กม. แสดงว่าจะต้องเหลือ 320 กม.
 
แต่เมื่อนำมาคำนวนแบบง่าย ๆ 320 กม. นำมาหักที่เหลือ 203 กม. ดังนั้น ระยะทางจริงหายไป 117 กม.* กลายเป็นเหลือระยะทางที่วิ่งได้จริง ๆ ถือว่ารับได้และใช้งานวันละ 80 กม.ต่อวันได้อย่างสบาย ๆ แถมแรงอีกต่างหาก เท่ากับได้ระยะทางวิ่งได้จริง ๆ คือ 433 กม. (จากการหักระยะทางที่หายไปในการทดสอบครั้งนี้ 117 กม.)
(*เป็นการประมาณ แต่จากสภาพการขับขี่ การจราจรและปัจจัยอื่น ๆ เช่น รถติด ใช้คันเร่งมาก-น้อย แตกต่างกันไป) เวลาในการชาร์จจาก 37% ระยะทางคงเหลือ 203 กม. ถึงประมาณ 80% เพียง 35 นาที ระยะทางได้มาเป็น 447 กม.
smileyสรุปคือ 550 กม. วิ่งจริง ๆ 433 กม. สำหรับกำลัง 408 แรงม้า พลัง 2 มอเตอร์ น้ำหนักตัวใกล้ 3 ตันนับว่าลงตัวเลยครับ
 

ฟังก์ชั่นเพียบ ความปลอดภัยเยอะแต่ก็ต้องปิดบางตัว!
 
ฟังก์ชั่นใช้งานนั้นยังคงเน้นว่าแม้จะเยอะแต่สิ่งที่น่าจะตรงกับการใช้งานในทุก ๆ วันมากที่สุดคือ การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ที่ใช้ง่ายมาก แต่ข้อเสียคือ หากเราใช้งาน Google Map อยู่แล้วจำเป็นต้องเปิดสมาร์ทโฟนที่กำลังเล่นเพลงหรือคลิปต่าง ๆ เสียงจะเปิดผ่านระบบในรถ แต่เมื่อปิด ระบบจะค้างเสียงจากมัลติมิเดียที่เพิ่งเปิดไป จะต้องกดกลับไปฟังเพลงจากวิทยุเองและถ้าหากสั่งด้วยคำสั่งเสียงให้เปิด "วิทยุ" หน้าจอจะค้างไว้ที่ "วิทยุ" จะไปกลับไปหน้าเชื่อมต่อมือถือ ต้องกดเอง ตรงนี้อาจทำให้ยุ่งยากพอสมควรครับ

 
และด้วยระบบต่าง ๆ เหมือนกันกับในรุ่น Long Range ที่ยังมีการใช้งานยากเหมือนกันนั่นคือ การปรับช่องแอร์ ต้องเข้าหน้าจอเท่านั้นและมีเมนูให้เลือกไม่กี่แบบ เช่น ปัดซ้าย-ขวา, ขึ้น-ลง (แบบสวิง), แบบเป่าตรง ๆ (แต่มันไม่ตรงตำแหน่งคนนั่งนะ) แบบไร้ความรู้สึก (ใครตั้งชื่อก่อน) คือการกระจายลมไม่ให้โดนตัวประมาณนัน้ครับ แต่เท่าที่ใช้งานมา ผมว่าปรับแบบ สวิง ซ้าย-ขวา ดีที่สุดเพราะมันกระจายลมได้ทั่วและเย็นเร็วดีครับ ที่วางแก้วน้ำเล็ก ตื้น และมีช่องเดียว
 
ยังมีช่องใส่โทรศัพท์พร้อมชาร์จอันดีล็อคแน่นไม่ตกง่าย ๆ แต่ถ้าใช้เครื่องใหญ่ ๆ จะชาร์จไม่ได้หรือบางทีก็เสียบไม่ได้เลยครับ อาจจะต้องปรับปรุงให้กว้างขึ้นนะ หรือไปใช้ตำแหน่งอื่น ส่วนช่องวางของใต้คอนโซลกลาง ถือว่าดี มีกันลื่น วางได้ไม่ต้องกลัวของตก และมีช่องเสียบ USB 2 ฝั่งด้วย


ความปลอดภัยที่มาแบบจัดเต็มแต่ก็ยังใช้งานจริงในถนนเมืองไทยได้ไม่ครบ เพราะการจราจรไม่เหมาะสม เช่น ระบบเตือนและเบรกที่ความเร็วต่ำ จะทำงานตลอดที่มีรถมีเบียด แทรกหรือขับโฉบ ๆ มาใกล้ ๆ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับมีเข้าด้านหน้า รถตจะเบรกแบบสุดตัวทันที ทำให้กลังว่าคันด้านหลังจะจูบก้นเอาได้ จึงต้องปิดระบบนี้ เหลือแค่เตื่อนชนด้านหน้าความเร็วปกติครับ
 

มาถึงระบบเตือนและดึงกลับเมื่อออกนอกเลนก็เช่นกัน "แค่ขับเบี่ยงหลบหลุม ฝาท่อ เลนจรจราเบี่ยง" ก็จะต้องสู้กับแรงดึงกลับพอสมควร จึงต้องปิดไปก่อนครับ เอาไว้ขับทางไกลยาว ๆ รถน้อย ๆ หรือบนทางด่วนค่อยใช้อีกครั้งครับ ส่วนระบบควบคุมความเร็วแปรผันก็ควรใช้ในถนนโล่ง บนทางด่วน เพราะ การเว้นระยะด้านหน้าจะเยอะมากแม้จะตั้งค่าใกล้สุด จนกลายเป็นช่องวางให้รถเข้ามาแทรกตลอดเวลา ปิดไปอีกระบบ!
 

สรุปความคุ้มค่า
 
ORA 07 Performance มาพร้อมความแรงเกาะถนนช่วงล่างแน่นหนึบ และได้ระยะวิ่งที่เหมาะสมไม่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพลังจาก 2 มอเตอร์ไฟฟ้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้ทั้งความพรีเมี่ยมหรูหราและพร้อมสนุกกับการขับขี่แบบ "ซูเปอร์คาร์" ได้ตลอดเวลตราบใดที่ไฟในแบตฯ ยังเหลือไม่น้อยกว่า 40% ก็ซิ่งไปเลยไม่ต้องกลัวครับ
ใครสนใจต้องไปทดลองขับ นั่ง ใช้งานดูฟังก์ชั่นต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจและตอนนี้มีแคมเปญดี ๆ อีกด้วยครับ